ข่าวที่ 122/2568 วันที่ 27 ตุลาคม 2568
นายฉันทานนท์ วรรณเขจร เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เปิดเผยถึงภาพรวมภาวะเศรษฐกิจการเกษตรในไตรมาสที่ 3 ปี 2568 (กรกฎาคม – กันยายน 2568) ขยายตัวร้อยละ 1.4 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี2567 โดยปัจจัยสนับสนุนหลักมาจากการบริหารจัดการน้ำ ที่ดี ประกอบกับปริมาณฝนที่ตกอย่างสม่ำเสมอตั้งแต่ช่วงครึ่งแรกของปี ส่งผลให้ปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำและแหล่งน้ำ ตามธรรมชาติมีเพียงพอสำหรับการเพาะปลูกและการเจริญเติบโตของพืชผลทางการเกษตร ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าว เอื้อให้เกษตรกรสามารถขยายพื้นที่เพาะปลูกในที่ดินซึ่งเคยปล่อยว่าง อีกทั้งยังมีการบำรุงดูแลรักษาและเฝ้าระวังโรค ระบาดในพืชและสัตว์อย่างเข้มงวดมากขึ้น แม้ว่าในช่วงเวลาดังกล่าว บางพื้นที่ในภาคเหนือและ ภาค ตะวันออกเฉียงเหนือจะเผชิญกับอิทธิพลของพายุ “วิภา” และ “คาจิกิ” ซึ่งทำให้เกิดฝนตกหนักและน้ำท่วมฉับพลัน แต่ด้วยการเตรียมความพร้อมและมาตรการรับมือที่มีประสิทธิภาพ ทำให้ผลผลิตทางการเกษตรได้รับความเสียหาย ในวงจำกัด
จากปัจจัยต่าง ๆ ดังกล่าว ส่งผลให้สาขาพืช ขยายตัวร้อยละ 2.9 ตามมาด้วย สาขาป่าไม้ ขยายตัวร้อยละ 1.7 และสาขาบริการทางการเกษตร ขยายตัวร้อยละ 1.2 ขณะที่สาขาปศุสัตว์ กลับมาขยายตัวเล็กน้อยร้อยละ 0.2 ส่วนสาขาประมง ยังคงหดตัวร้อยละ 5.3
สำหรับ แนวโน้มเศรษฐกิจการเกษตรตลอดทั้งปี 2568 สศก. คาดการณ์ว่าจะขยายตัวอยู่ในช่วงร้อยละ 2.3 – 3.3 โดยมีปัจจัยหนุนจากปริมาณน้ำที่เพียงพอต่อการเพาะปลูกตลอดทั้งปี และการขับเคลื่อนนโยบายของ ภาครัฐและกระทรวงเกษตรและสหกรณ์อย่างต่อเนื่อง อาทิ การบริหารจัดการน้ำอย่างเป็นระบบ การเตรียมความ พร้อมรับมือภัยพิบัติทางธรรมชาติ การควบคุมโรคระบาดในพืชและสัตว์ และการส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีและ นวัตกรรมเพื่อยกระดับการผลิตและคุณภาพสินค้าเกษตร อย่างไรก็ตาม ยังคงมีปัจจัยเสี่ยงที่ต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด อาทิความแปรปรวนของสภาพอากาศที่อาจทวีความรุนแรงขึ้น ราคาปัจจัยการผลิตหลายชนิดที่ยังคงอยู่ในระดับสูง สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างประเทศ มาตรการกีดกันทางการค้าที่เข้มงวดขึ้น และความผันผวนของอัตรา แลกเปลี่ยน ซึ่งอาจส่งผลต่อภาคการส่งออกและราคาสินค้าเกษตรในประเทศ ทั้งนี้ สศก. มีกำหนดจะจัดสัมมนาเพื่อ นำเสนอภาพรวมภาวะเศรษฐกิจการเกษตรปี 2568 และแนวโน้มในปี 2569 ในช่วงกลางเดือนธันวาคม 2568 ที่จะถึงนี้ซึ่งจะได้แจ้งกำหนดการให้ทราบอีกครั้ง
ด้านนายวินิต อธิสุข รองเลขาธิการ สศก. ได้กล่าวเสริมถึงรายละเอียดในแต่ละสาขาว่า สาขาพืช ขยายตัว ร้อยละ 2.9 เนื่องจากสภาพอากาศและปริมาณน้ำที่เอื้ออำนวย ทำให้ผลผลิตต่อไร่และภาพรวมผลผลิตของพืช หลายชนิดเพิ่มขึ้น โดยพืชสำคัญที่มีผลผลิตเพิ่มขึ้น ได้แก่ ข้าวนาปีและ ข้าวนาปรัง โดยปริมาณน้ำมีเพียงพอในช่วง การเพาะปลูกและการเจริญเติบโตของต้นข้าว ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เกษตรกรบางส่วนปรับเปลี่ยนมาปลูกทดแทน มันสำปะหลังที่ราคาลดลงและประสบปัญหาโรคใบด่าง สับปะรดปัตตาเวีย ต้นสับปะรดมีความสมบูรณ์สามารถบังคับ ให้ออกผลได้ดีกว่าปีก่อน ยางพารา ต้นยางส่วนใหญ่อยู่ในช่วงที่ให้ผลผลิตสูง ทุเรียน และ ลำไย ราคาอยู่ในเกณฑ์ดี ต่อเนื่อง จูงใจให้เกษตรกรดูแลรักษาและขยายพื้นที่ปลูก โดยเฉพาะทางภาคใต้ และ เงาะ สภาพอากาศทาง ภาคตะวันออกเอื้ออำนวยต่อการออกดอกติดผล ส่วนพืชที่มีผลผลิตลดลง ได้แก่ มันสำปะหลัง ซึ่งแหล่งผลิตสำคัญยัง ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคใบด่าง ปาล์มน้ำมัน ได้รับผลกระทบจากสภาพอากาศแปรปรวนทางภาคใต้ ทำให้ทะลายปาล์มไม่สมบูรณ์ และ มังคุด เกษตรกรโค่นต้นมังคุดเก่าเพื่อปรับเปลี่ยนไปปลูกทุเรียนและไม้ผลอื่นที่มี ผลตอบแทนสูงกว่า
สาขาปศุสัตว์ ขยายตัวร้อยละ 0.2 จากการควบคุมมาตรฐานฟาร์มที่ดีและการขยายการผลิตเพื่อตอบสนอง ความต้องการของตลาด โดย สุกร ผลผลิตเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากการปรับเพิ่มการเลี้ยงตั้งแต่ไตรมาส 1/2568 ไก่เนื้อ เพิ่มขึ้นจากการที่ผู้บริโภคหันมาบริโภคเนื้อไก่มากขึ้นเพื่อทดแทนเนื้อสุกรที่มีราคาค่อนข้างสูง และ น้ำนมดิบ ปริมาณและคุณภาพเพิ่มขึ้นจากการปรับปรุงพันธุ์โคนมและพัฒนาสูตรอาหารสัตว์อย่างต่อเนื่อง ส่วน ไข่ไก่ ลดลง เนื่องจากมาตรการรักษาเสถียรภาพราคาที่ขอความร่วมมือเกษตรกรให้ปลดไก่ตามอายุที่เหมาะสม ประกอบกับสภาพ อากาศแปรปรวน ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของแม่ไก่ ทำให้ผลผลิตไข่ไก่ลดลง
สาขาประมง หดตัวร้อยละ 5.3 โดยผลผลิต ปลานิลและปลาดุก ลดลง เนื่องจากต้นทุนราคาอาหารสัตว์ ยังทรงตัวในระดับสูง ขณะที่ราคาขายปรับตัวลดลง ไม่จูงใจให้เกษตรกรลงลูกพันธุ์ปลาเพิ่ม เช่นเดียวกับผลผลิต กุ้งขาวแวนนาไม ที่ลดลงจากสภาพอากาศแปรปรวน ซึ่งส่งผลต่อคุณภาพน้ำในบ่อเลี้ยง ทำให้กุ้งเจริญเติบโตช้าและ เกิดปัญหาการตายเฉียบพลัน ขณะที่ สัตว์น้ำที่นำขึ้นท่าเทียบเรือ มีปริมาณลดลง เนื่องจากสภาพอากาศที่แปรปรวน และราคาน้ำมันเชื้อเพลิงซึ่งเป็นต้นทุนหลักยังคงอยู่ในระดับสูง ทำให้ผู้ประกอบการประมงพาณิชย์ลดจำนวนเที่ยวการ ออกเรือจับสัตว์น้ำ
สาขาบริการทางการเกษตร ขยายตัวร้อยละ 1.2 เนื่องจากการขยายเนื้อที่เพาะปลูกพืชเศรษฐกิจสำคัญ เช่น ข้าวนาปี ข้าวนาปรัง และข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ทำให้กิจกรรมการจ้างบริการเครื่องจักรกลเพื่อเตรียมดินและ เก็บเกี่ยวผลผลิตเพิ่มขึ้นตามไปด้วย .
สาขาป่าไม้ ขยายตัวร้อยละ 1.7 โดย ไม้ยูคาลิปตัส เพิ่มขึ้นตามความต้องการของอุตสาหกรรมการผลิต เยื่อกระดาษในประเทศ และการส่งออกไปยังจีนและญี่ปุ่น ถ่านไม้เพิ่มขึ้นตามความต้องการของตลาดจีน ศรีลังกา ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ รังนก เพิ่มขึ้นเพื่อป้อนให้กับอุตสาหกรรมแปรรูปและส่งออกไปจีน ขณะที่ ไม้ยางพารา ลดลงตาม เป้าหมายการตัดโค่นสวนยางเก่าเพื่อปลูกทดแทนของภาครัฐ และ ครั่ง ลดลงจากสภาพอากาศที่ไม่เอื้ออำนวยต่อการ เจริญเติบโต อัตราการเติบโตของภาคเกษตร หน่วย: ร้อยละ
***************************************
ข่าว : ส่วนประชาสัมพันธ์ ข้อมูล : กองนโยบายและแผนพัฒนาการเกษตร
ถนนพหลโยธิน เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร 10900
E-mail : [email protected]
เบอร์โทร : 0-2579-8161

หากมีข้อสงสัยในการเข้าสู่ระบบ ติดต่อที่ e-mail:
นโยบายเว็บไซต์ | นโยบายการรักษาความมั่นคงปลอดภัยเว็บไซต์ |
นโยบายการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล | แผนผังเว็บไซต์
สงวนลิขสิทธิ์ © 2022 สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์