มันสำปะหลังสามารถปลูกได้ตลอดปีแต่เกษตรกรส่วนใหญ่จะปลูกช่วงต้นฤดูฝน (เดือนมีนาคมถึงเดือนพฤษภาคม) ถึง 65 เปอร์เซ็นต์และปลูกในช่วงปลายฤดูฝนหรือในฤดูแล้ง (เดือนพฤศจิกายนถึงเดือนกุมภาพันธ์) ประมาณ 20 เปอร์เซ็นต์ส่วนที่เหลือจะปลูกในช่วงเดือนมิถุนายนถึงเดือนตุลาคม การปลูกในช่วงต้นฤดูฝนให้ผลผลิตหัวสดสูงกว่าการปลูกในช่วงอื่นๆ แต่ถ้าเป็นดินทรายการปลูกในช่วงฤดูแล้งจะให้ผลผลิตหัวแห้งสูงสุด การเลือกฤดูปลูกของเกษตรกรขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ ดังนี้
1. ปริมาณน้ำฝน การปลูกในช่วงต้นฤดูปริมาณน้ำฝนยังไม่มากนักจึงมีเวลาเตรียมดินได้ดีการมีเวลาเตรียมดินอย่างดีจะท ำให้จำนวนวัชพืชลดลงมาก ดินร่วนเหมาะกับการลงหัวและมันสำปะหลังจะได้รับน้ำฝนตลอดระยะเวลาของการเจริญเติบโต ถ้าปลูกช่วงปลายฤดูหรือในฤดูแล้งหลังจากมันสำปะหลังขึ้นมาแล้วจะพบกับระยะฝนทิ้งช่วง 2-3 เดือน ทำให้มันสำปะหลังชะงักการเจริญเติบโตแต่ข้อดีของการปลูกปลายฝนคือมีวัชพืชขึ้นรบกวนน้อย
2. ชนิดดิน ถ้าเป็นดินทรายสามารถปลูกได้ตลอดปีแต่เกษตรกรมักนิยมปลูกปลายฤดูฝนเช่น แถบจังหวัดระยองและชลบุรีแต่ถ้าเป็นดินเหนียวจะนิยมปลูกต้นฤดูฝน เพราะถ้าเป็นฤดูแล้งการไถพรวนจะได้ดินก้อนใหญ่ท่อนพันธุ์มันสำปะหลังจะแห้งตายก่อนที่จะงอกเป็นต้น
3. พันธุ์มันสำปะหลังพันธุ์พื้นเมืองถ้าเก็บเกี่ยวในฤดูฝนจะมีเปอร์เซ็นต์แป้งต่ำและการขนส่งลำบากจึงนิยมปลูกปลายฤดูเพื่อการเก็บเกี่ยวและขนส่งในฤดูแล้งจะได้คุณภาพและราคาดีแต่ในปัจจุบันมีพันธุ์ใหม่ๆ เกิดขึ้นให้ผลผลิตและเปอร์เซ็นต์แป้งสูงทุกฤดูจึงสามารถปลูกได้ทั้งปีเป็นการกระจายผลผลิตให้สม่ำเสมอตลอดปีได้
1. การปลูกมันสำปะหลังที่เหมาะสม ควรคำนึงถึงปัจจัยต่างๆ มีดังนี้
1.1 การเตรียมดิน
1) ดินที่ใช้ปลูกมันสำปะหลัง
1.1) ชนิดดิน
ดินมันสำปะหลังในประเทศไทย เป็นดินไร่ในที่นาดอนหรือที่ดอนที่มีสภาพพื้นที่ราบเรียบลาดชัน หรือมีลักษณะ ลูกคลื่นลอนลาด จำแนกชนิดชั้นดินตามระบบอนุกรมวิธานดินได้ 6 ชั้น ชั้นดินที่นิยมนำข้อมูลดินมาใช้ในการวางแผน การใช้ที่ดินเพื่อการผลิตพืชเศรษฐกิจมากที่สุด คือ ชั้นกลุ่มดิน และชุดดิน ชุดดินสำคัญที่ใช้ปลูกมันสำปะหลัง ได้แก่ชุดดินโคราช วาริน สตึก ยโสธร ห้วยโปุง มาบบอน
ชุดดินแต่ละชุดมีสมบัติแตกต่างกัน สมบัติที่สำคัญที่ใช้ในการจำแนกชนิดดินและเพื่อกำหนดคำแนะนำเบื้องต้น ในการจัดการดินเพื่อการปลูกพืช คือ ประเภทเนื้อดิน 3 แบบ คือ ดินเนื้อละเอียดดินเนื้อปานกลาง และดินเนื้อหยาบ
ประเภทเนื้อดินของดินที่ใช้ปลูกมันสำปะหลังมากที่สุดในประเทศไทย คือ ดินร่วนปนทรายรองลงมาคือ ดินทราย ดินเหนียวสีแดง และดินเหนียวสีดำที่มีฤทธิ์เป็นด่าง
2) ดินที่เหมาะสมต่อการปลูกมันสำปะหลัง
ดินที่เหมาะสมต่อการปลูกมันสำปะหลังควรเป็นดินเนื้อปานกลาง เช่น ดินร่วนปนทรายแปูงดินร่วนเหนียวปนทราย หรือดินเนื้อหยาบ ประเภทดินร่วนปนทรายหรือดินเหนียวที่มีการจัดการดินดีทำให้ดินมีสมบัติเหมาะสมทั้งทางด้านกายภาพ เคมีชีวภาพ และความอุดมสมบูรณ์ของธาตุอาหารพืชและปริมาณอินทรียวัตถุในดิน ดินมีความโปร่งซุย ไม่อ่อนไหวต่อการเกิดชั้นดาน แผ่นแข็งปิดผิว การกร่อนดิน ระบายอากาศ อุ้มน้ำและระบายน้ำส่วนเกินได้ดีมีอัตราการแทรกซึมน้ำเหมาะสม ไม่เกิดชั้นน้ำใต้ดิน หรือมีน้ำขังบนผิวหน้าดินนานหลังฝนตกในปริมาณมาก ดังนั้นดินที่มีสมบัติไม่เหมาะสมต่อการปลูก มันสำปะหลังต้องมีการจัดการดินโดยวิธีการที่ถูกต้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง วิธีการจัดการดินเฉพาะพื้นที่ในไร่ของเกษตรกรเอง
3) สมบัติของดินที่จำกัดการเติบโตของมันสำปะหลัง
ดินมันสำปะหลังในประเทศไทย ส่วนใหญ่เป็นดินเนื้อหยาบ ได้แก่ ดินทราย ดินทรายร่วน และดินร่วนปนทราย ดินประเภทนี้ในชั้นดินบน มีอนุภาคดินขนาดเม็ดทรายสูง และมีอนุภาคดินขนาดเม็ดเล็กกว่า ในรูปทรายแปูง และแร่ดินเหนียวต่างมีโครงสร้างไม่ดีอุ้มน้ำและ ดูดยึดธาตุอาหารพืชได้น้อย เกิดการชะละลายของธาตุอาหารพืชได้ง่าย อ่อนไหวต่อการเกิดชั้นดานใต้ผิวดิน ชั้นน้ำใต้ดินชั่วคราว และอาจเกิด แผ่นแข็งปิดผิวถ้าจัดการดินไม่ดีทำให้ดินมีอัตราการแทรกซึมน้ำต่ำเกิดการไหลบ่าของน้ำ น้ำท่วมขังบนผิวดิน และเกิดการกร่อนดิน และที่สำคัญคือ มีปริมาณอินทรียวัตถุและธาตุอาหารพืชในดินต่ำ มีผลทำให้สมบัติโดยรวมเป็นดินที่จำกัดการเติบโตและให้ผลผลิตมันสำปะหลังต่ำ
ดินมันสำปะหลังในบางพื้นที่เป็นดินเนื้อละเอียดประเภทดินเหนียวสีแดง สีเทาดำ หรือสีดำ มีสมบัติแน่นทึบ ระบายน้ำและอากาศไม่ดีและถ้าเป็น ดินที่มีฤทธิ์เป็นด่างจะมีปัญหาขาดธาตุอาหารเสริม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ธาตุเหล็ก และธาตุสังกะสี
2) การไถ
มันสำปะหลังเป็นพืชหัว ส่วนของผลผลิตที่เก็บเกี่ยวคือ ส่วนของหัวที่เกิดจากการขยายใหญ่ของรากดังนั้นการ
เตรียมดินที่ดีโดยการไถให้ลึกและพรวนดินให้ร่วนซุย นอกจากจะช่วยท าลายวัชพืชในแปลงปลูกเดิมให้หมดสิ้นแล้ว ยังช่วยให้ดินมีการระบายน้ำได้ดีและมีผลทำให้ท่อนพันธุ์มันสำปะหลังที่ปลูกสัมผัสกับดินได้มาก ความงอกดีจำนวนต้นอยู่รอดสูง มันสำปะหลังจะสามารถลงหัวได้ดีผลผลิตที่จะได้จะสูงขึ้นด้วย
วิธีการไถให้ไถดะโดยใช้ผาน 3 ครั้งแรก ในช่วงที่ดินมีความชื้นพอเหมาะและไถกลบวัชพืช ซากพืชเช่น ใบ ต้นของมันสำปะหลังที่เหลือจากการเก็บเกี่ยวลงไปในดิน เพื่อให้ธาตุอาหารที่มีอยู่ในเศษเหลือดังกล่าวกลับคืนสู่ดิน เป็นวิธีการที่เหมาะสมและเกษตรกรส่วนใหญ่ใช้ปฏิบัติโดยปกติหลังจากการขุดเก็บเกี่ยวควรเริ่มไถด้วยผาน 3 ก่อนแล้วทิ้งไว้ 7-14 วัน เพื่อเก็บความชื้นและปล่อยให้ซากจากมันสำปะหลังและวัชพืชเน่าสลาย เมื่อพร้อมที่จะปลูกจึงไถแปรด้วยจานพรวนหรือผาน 7 ในกรณีที่เป็นดินร่วนเหนียวแต่ถ้าเป็นดินร่วนทรายก็ไม่จำเป็นต้องไถแปร ห้ามไถดะ ครั้งแรกด้วยผาน 7 เพราะจะไถได้ไม่ลึก การไถดะให้ลึกจะเพิ่มความสามารถในการเก็บกักความชื้นของดินได้มากขึ้น และมันสำปะหลังลงหัวง่าย
สำหรับการปลูกมันสำปะหลังในช่วงต้นฤดูฝน ควรทำการยกร่องแล้วปลูกบนสันร่องจะดีกว่า ซึ่งมีข้อดีคือ ในกรณีที่ฝนตกชุก น้ำสามารถระบายไปตามร่องได้ท่อนพันธุ์ที่ปลูกจะไม่ถูก พัดพาโดยการไหลผ่านของน้ำได้ง่าย การปลูกจะทำได้สะดวกและรวดเร็วกว่าการปลูกแบบขึงเชือก (ปลูกบนพื้นราบไม่มีการยกร่อง)การใส่ปุ๋ยกลางร่อง ทำให้พืชได้รับสารอาหารได้เต็มที่การกำจัดวัชพืชในช่วงที่มันสำปะหลังโตแล้วก็จะทำได้สะดวก นอกจากนี้ถ้าพื้นที่ปลูกมีความลาดเท การไถพรวนและยกร่องปลูกขวางแนวลาดเทก็มีความจำเป็นเพราะจะช่วยปูองกันการพังทลายของดิน จากการไหลของน้ำได้ด้วย
อย่างไรก็ตามการยกร่องปลูกจะทำให้เสียค่าใช้จ่ายเพิ่ม (เพิ่มต้นทุนการผลิต) แต่อาจชดเชยได้ด้วยการจ่ายค่าแรงปลูกและค่าแรงขุดเก็บเกี่ยวที่น้อยลง เนื่องจากการปฏิบัติในแปลงสามารถทำได้สะดวกและรวดเร็วขึ้น ถ้าดินในพื้นที่ปลูกเป็นดินที่เนื้อดินค่อนข้างละเอียด การยกร่องปลูกจะทำให้การระบายน้ำในแปลงดีขึ้น และต้นมันสำปะหลังไม่ถูกน้ำท่วมขังจนทำให้เกิดความเสียหาย
สำหรับการปลูกมันสำปะหลังในช่วงปลายฤดูฝน การไถครั้งแรกด้วยผาล 3 ในขณะที่ดินมีความชื้นเช่น หลังฝนตกและรถแทรกเตอร์สามารถเข้าไถได้จะเป็นการไถที่ช่วยตัดเก็บความชื้นไว้ในดินได้เป็นอย่างดีเมื่อพร้อมปลูกจึงไถแปรดินด้วยจานพรวนหรือผาล 7 อีกครั้ง หลังจากนั้น ก็สามารถปลูกได้โดยวิธีขึงเชือกโดยปลูกบนพื้นราบไม่มีการยกร่อง
สำหรับพื้นที่ที่ปลูกมันสำปะหลังมานานชั้นลึกลงไปของดินที่ปลูกอาจเกิดเป็นชั้นของดินดาน หรือในดินบางชุดชั้นลึกลงไปเป็นดินแน่นแข็ง การใช้ไถเบรกดินดานหรือไถสิ่ว (sub soiler) ช่วยทุก 2-3 ปีจะท าให้การไถเตรียมดินปลูกทำได้ลึกขึ้น โดยเริ่มจากการไถพรวนปรับหน้าดินก่อนแล้วไถระเบิดดินดานจากนั้นให้ไถพรวนอีกครั้งเพื่อย่อยดินตามด้วยไถหัวหมูเพื่อสร้างหน้าดิน จากนั้นไถยกร่องด้วยรถไถขนาดกลางก่อนที่จะปลูกด้วยท่อนพันธุ์ต่อไป
การเตรียมดินเพื่อปลูกมันสำปะหลังโดยลดการไถพรวนหรือไม่มีการไถพรวน เพื่อไม่ต้องการรบกวนโครงสร้างดิน เมื่อมีความชื้นเพียงพอก็สามารถปลูกได้โดยไม่ไถพรวน ถ้ามีวัชพืชปกคลุมมากก็ให้ใช้สารกำจัดวัชพืชก่อนปลูก การไถยกร่องอาจไม่จำเป็นทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความลาดเทของพื้นที่ซึ่งหากไม่ยกร่องก็จะประหยัดค่าใช้จ่ายได้อีก เท่าที่ผ่านมาได้มีรายงานการศึกษาบ้าง ยังไม่สามารถสรุปได้ว่าการเตรียมดินโดยไม่ไถพรวนมีความเหมาะสมเพียงใและการทดลองในดินที่มีเนื้อดิน (ชุดดิน) ที่แตกต่างกัน ผลการศึกษาก็จะแตกต่างกันด้วย อย่างไรก็ตามการลดการไถพรวนหรือไม่มีการไถพรวนจะทำให้ค่าใช้จ่ายในการไถลดลงและเป็นผลดีต่อสภาพแวดล้อม ลดการชะล้างลดการพังทลายของดินได้
3) การปรับปรุงบำรุงดิน
3.1) วิธีการปรับปรุงบำรุงดิน
การปรับปรุงบำรุงดินที่มีความสามารถในการให้ผลผลิตพืชต่ำ จะต้องมีการปฏิบัติพร้อมๆ กันไปกับการอนุรักษ์ดินหรือการควบคุมการสูญเสียเนื้อดินออกไปจากแปลงปลูก หลักการในประเด็นนี้นับว่าเป็นมาตรการที่สำคัญมาก ในทางปฏิบัติวิธีการปรับปรุงบำรุงดินมันสำปะหลังให้ดีขึ้นพร้อมๆ กันไปกับการป้องกันเสื่อมโทรมของดินอาจปฏิบัติได้โดยวิธีการหลักๆ ดังนี้
(1) การใช้ปุ๋ยเคมี
ใช้ปุ๋ยเคมีที่มีสมบัติและสูตรปุ๋ยเหมาะสมเพื่อบำรุงดินโดยการเพิ่มธาตุอาหารพืชที่จำเป็นให้กับดินและพืช โดยเฉพาะธาตุ N,P และ K โดยทั้งนี้ให้ทำการวิเคราะห์ดินก่อนว่ามีความสมบูรณ์เพียงไรขาดธาตุอาหารอะไรบ้าง ถ้าดินยังขาดธาตุอาหารพืชชนิดอื่นๆ เช่น ธาตุอาหารรอง หรือธาตุอาหารเสริมต้องพิจารณาให้ธาตุอาหารรอง เช่น ธาตุMg, S หรือธาตุอาหารเสริมชนิดต่างๆ เช่น Zn, Fe เป็นการเพิ่มเติมด้วย
(2) การใช้ปุ๋ยอินทรีย์และหรือปุ๋ยชีวภาพ
เมื่อเปรียบเทียบกับปุ๋ยเคมีที่นิยมใช้เพื่อเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ทางด้านธาตุอาหารพืชในดินเป็นหลัก การใช้ปุ๋ยอินทรีย์โดยทั่วๆ ไปมีวัตถุประสงค์เพื่อปรับปรุงสมบัติทางกายภาพของดินเป็นสำคัญอย่างไรก็ตามการใช้ปุ๋ยอินทรีย์บางชนิด เช่น ปุ๋ยมูลไก่ ปุ๋ยมูลค้างคาว ที่มีปริมาณธาตุอาหารพืชค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับปุ๋อินทรีย์ชนิดอื่นๆ เช่น ปุ๋ยมูลโค ตะกอนขี้หมูถ้ามีการใช้ในปริมาณมาก เช่น การใช้มากกว่า 500 กิโลกรัมต่อไร่ขึ้นไป จะมีผลดีทั้งในแง่ของการบำรุงดินเพื่อเพิ่มพูนธาตุอาหารพืชในดินและการปรับปรุงสมบัติทางกายภาพของดินไปด้วยพร้อมๆ กัน การใช้ปุ๋ยอินทรีย์และปุ๋ยชีวภาพท าให้เพิ่มปริมาณจุลินทรีย์ที่เป็นประโยชน์บางชนิดลงดินหรือส่งเสริมกิจกรรมของจุลินทรีย์ที่เป็นประโยชน์ในดินมากกว่าการใช้เพื่อเพิ่ม
ปริมาณธาตุอาหารพืชโดยตรง
(3) การใช้สารปรับปรุงดิน
ดินบางประเภทอาจไม่มีปัญหาสำคัญทางด้านปริมาณอินทรียวัตถุหรือชนิด และปริมาณธาตุอาหารพืชในดินมากนัก แต่อาจมีปัญหาสำคัญทางด้านสมบัติทางกายภาพ เช่น เป็นดินที่มีเนื้อดินที่ไม่จับตัวกันเป็นก้อนไม่อุ้มน้ำเกิดการชะล้างพังทะลายง่ายหรือผิวหน้าดินอาจเกิดการแข็งตัวแน่นทึบเวลาเมื่อดินเปียกและแห้งตัวลงปัญหาต่างๆ เหล่านี้การใช้ปุ๋ยเคมีอย่างเดียวไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้จำเป็นต้องมีการใช้ปุ๋ยอินทรีย์หรือสารปรับปรุงดินในรูปสารอนินทรีย์หรือสารอินทรีย์ชนิดต่างๆ ทั้งที่เป็นสารอินทรีย์ธรรมชาติสารอินทรีย์ที่ได้จากผลพลอยได้ทางการเกษตร เช่น เศษเปลือกมันค้างปีกากอ้อย หรืออาจใช้ผลพลอยได้จากโรงงานอุตสาหกรรมอื่นๆ เช่น ฟอสโฟยิปซั่มจากโรงงานผลิตปุ๋ยเคมีเพื่อแก้ปัญหาการเกิดแผ่นแข็งบนผิวดิน ฯลฯ สารปรับปรุงดินในรูปปูนไลม์ปูนโดโลไมท์หินฝุุนหรือหินปูนบดแร่ที่มีการปรุงแต่งชนิดต่างๆ หรือในรูปสารอินทรีย์สังเคราะห์ต่างๆ เช่น สารดูดน้ำโพลิเมอร์ฯลฯ ซึ่งสำหรับมันสำปะหลังที่เป็นพืช ไร่ที่มีราคาผลผลิตต่อหน่วยค่อนข้างต่ำและไม่แน่นอน การใช้สารปรับปรุงดินในรูปแร่ปรุงแต่งสารสังเคราะห์หรือสารอื่นๆ ที่มีราคาต่อหน่วยค่อนข้างแพง ในทางปฏิบัติไม่แนะนำให้ใช้เพราะจะทำให้มีต้นทุนการปลูกมันสำปะหลังสูงเกินไปและผลที่ได้อาจทำให้ไม่คุ้มกับค่าใช้จ่ายที่ลงทุนไป
(4) การใช้ปุ๋ยชนิดต่างๆ ร่วมกับสารปรับปรุงดินอย่างผสมผสาน
เนื่องจากดินที่ใช้ในการปลูกมันสำปะหลังส่วนใหญ่มักมีปัญหาทั้งทางด้านความอุดมสมบูรณ์ของธาตุอาหารพืชและสมบัติทางกายภาพบางประการ เช่น เป็นดินที่มีสมบัติแข็งและแน่นทึบไม่ร่วนซุย ทำให้ไม่เกิดการแทรกซึมของน้ำที่ดีพอหรือเป็นดินที่มีเนื้อทรายจัดไม่อุ้มน้ำ ไม่ดูดยึดปุ๋ย และเกิดการชะล้างพังทะลายได้ง่าย ในการใช้ปุ๋ยเพื่อแก้ปัญหาดังกล่าวไปพร้อมๆ กันนั้น ควรใช้ปุ๋ยเคมีและปุ๋ยอินทรียร่วมกันอย่างผสมผสานมากกว่าจะใช้ปุ๋ยเคมีหรือปุ๋ยอินทรีย์อย่างใด อย่างหนึ่งแต่เพียงอย่างเดียว ทั้งนี้เพราะการใช้ปุ๋ยทั้งสองชนิดร่วมกันกับสารปรับปรุงดินอย่างเหมาะสม จะช่วยปรับปรุงและบำรุงดินให้มีสมบัติทั้งทางด้านกายภาพและความอุดมสมบูรณ์ของดินดีขึ้นพร้อมๆ กันและดีขึ้นกว่าเดิมอย่างยั่งยืนยาวนานมากกว่า
3.2) สารปรับปรุงดิน (Soil Conditioners)
สารปรับปรุงดินเป็นสารที่ได้จากธรรมชาติสารสังเคราะห์หรือสารเคมีทั้งในรูปสารประกอบอินทรีย์หรือสารประกอบอนินทรีย์ที่มีการปรุงแต่งหรือไม่มีการปรุงแต่งหรืออาจอยู่ในรูปของผลพลอยได้จากการประกอบการต่างๆ โดยทั่วไปในการใช้สารปรับปรุงดินนั้นมักมีวัตถุประสงค์และตัวสารปรับปรุงดินเองก็มีสมบัติเหมาะสมต่อการแก้ปัญหาสมบัติทางกายภาพของดินมากกว่าการปรับปรุงสมบัติทางเคมีและความอุดมสมบูรณ์ของธาตุอาหารพืชในดิน ดังนั้น สารปรับปรุงดินส่วนมากจึงไม่ใช่สารบำรุงดินที่จะมีผลต่อการเพิ่มพูนธาตุอาหารพืชโดยตรง แต่บางชนิดก็อาจมีคุณสมบัติที่เหมาะสมต่อการปรับปรุงสมบัติทางกายภาพของดิน และบำรุงความอุดมสมบูรณ์ของดินไปพร้อมกัน เช่น สารปรับปรุงดินในรูปของสารอินทรีย์ที่เป็นผลพลอยได้ทางการเกษตรและอยู่ในรูปที่สลายตัวง่ายและเร็ว มีธาตุอาหารพืชสูง เช่น กากเมล็ดนุ่น กากเมล็ดฝูาย กากละหุ่ง กระดูกปุน ฯลฯ หรือเป็นสารอินทรีย์ที่มีธาตุอาหารพืชต่ำแต่มีการใช้ในปริมาณมากเช่น เปลือกมันค้างปีกากอ้อย กากส่าเหล้า เป็นต้น
การจำแนกประเภทของสารปรับปรุงดินขึ้นอยู่กับเกณฑ์ที่กำหนดในการจำแนกเป็นสำคัญ ยกตัวอย่าง เช่น ถ้าจะจำแนกประเภทของสารปรับปรุงดินตามลักษณะองค์ประกอบของตัวสาร สารปรับปรุงดินอาจจำแนกออกได้เป็น 3 ประเภทใหญ่ๆ ดังนี้
(1) สารอนินทรีย์หรือสารเคมีได้แก่สารปรับปรุงดินในรูปหินหรือแร่ตามธรรมชาติที่ไม่มีการปรุงแต่งหรือมีการปรุงแต่งโดยใช้ความร้อน เช่น วัสดุปูนไลม์ยิบซั่ม แร่พูไมซ ์แร่ซีโอไลท์รวมทั้งสารเคมีที่สังเคราะห์ขึ้น เช่น สารประกอบแคลเซียม โพลีซัลไฟท ์หรือสารที่เป็นผลพลอยได้จากโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น ฟอสโฟยิบซั่มฯ เป็นต้น
(2) สารอินทรีย์ได้แก่สารอินทรีย์ธรรมชาติที่ไม่มีการปรุงแต่งหรือมีการปรุงแต่ง เช่น เศษซากพืช
ปุ๋ยหมัก ฯลฯ ผลพลอยได้ทางการเกษตรโดยตรงและจากโรงงานอุตสาหกรรมทั้งในและนอกภาคเกษตร เช่น
ขุยมะพร้าว แกลบดิบ เปลือกมันค้างปีกากอ้อย กากน้ำตาล สารฮิวมัสและจีเอ็มแอล (GML) จากโรงงานผงชูรส กากกระดาษ ฯลฯ รวมทั้งสารอินทรีย์สังเคราะห์ที่สังเคราะห์ ขึ้นโดยขบวนการทางเคมีเช่น สารโพลิเมอร์ที่ละลายน้ำได้เช่น สารโพลีอครีลามีด (หรือ PAM) สารดูดน้ำโพลิเมอร์สารประกอบแอมโมเนียมลอเร็ชซัลเฟต (หรือสารอกริ-เอส-ซี) เป็นต้น
(3) สารอนินทรีย์ผสมสารอินทรีย์ได้แก่สารปรับปรุงดินที่ผลิตขึ้นโดยการผสมวัสดุปรับปรุงดินในรูปสารอนินทรีย์ลงในสารอินทรีย์เพื่อเพิ่มคุณค่าของตัวสารหรือเพื่อการใช้ประโยชน์แบบผสมผสาน เช่นการผลิตปุ๋ยหมักโดยการผสมปุ๋ยเคมีและแร่พูไมซ์เข้าด้วยกัน หรือ การผลิตสารปรับปรุงและบำรุงดินเพื่อใช้ประโยชน์ในลักษณะเอนกประสงค์ เช่น สารปรับปรุงดิน ทีมีชื่อว่า “เทอราค๊อตเต็ม” (TerraCottem) ที่มีองค์ประกอบสำคัญ ประกอบด้วยสารดูดน้ำโพลิเมอร์ปุ๋ยเคมีปุ๋ยอินทรีย์และสารเร่งการเจริญเติบโตของพืชฯเป็นต้น
นอกจากนั้น เราอาจจำแนกประเภทของสารปรับปรุงดินออกได้เป็น 3 ประเภทใหญ่ๆ ตามแหล่งที่มาหรือแหล่งกำเนิด ได้แก่ 1) สารปรับปรุงดินที่ได้จากแหล่งธรรมชาติเช่น เศษพืชต่างๆ แร่พูไมซ์ 2) สารปรับปรุงดินในรูปผลพลอยได้ต่างๆ เช่น ขุยมะพร้าว เปลือกมันค้างปีฟอสโฟยิบซั่ม ฯลฯ และ3) สารปรับปรุงดินที่ได้จากการสกัดหรือจากการสังเคราะห์ทางเคมีเช่น สารเคมีในรูปสารประกอบแคลเซียมโพลีซัลไฟด์สารดูดน้ำโพลิเมอร์สารโพลีอครีลามีด (หรือ PAM) ฯลฯ
ถ้าจะพิจารณาจำแนกประเภทตามลักษณะการใช้ประโยชน์เพื่อการปรับปรุงดิน เราอาจจำแนกประเภทสารปรับปรุงดินออกได้ดังนี้คือ
1) สารปรับปรุงดินทางด้านกายภาพเป็นหลัก ได้แก่สารปรับปรุงดินที่ในรูปสารอินทรีย์ต่างๆ เช่น เปลือกมันค้างปีกากอ้อย ขุยมะพร้าว แกลบดิน ฟอสโฟยิบซั่ม PAM สารดูดน้ำโพลิเมอร์ฯลฯ
2) สารปรับปรุงสมบัติทางเคมีของดินเป็นหลัก ส่วนใหญ่ได้แก่สารปรับปรุงดินในรูปสารประกอบอนินทรีย์หรือสารเคมีเช่น สารปูนไลม์(ปูนสุก ปูนขาว หินปูน ปูนมาร์ล) กำมะถันผง และรวมทั้งแร่ต่างๆ เช่น แร่พูไมซ์ซีโอไลท์ เพื่อเพิ่มสมบัติความจุในการแลกเปลี่ยนประจุบวก (Cation Exchange Capacity) และความจุบัฟเฟอร์(Buffering Capacity) ของดินเนื้อหยาบ เป็นต้น
3.3) สมบัติและคุณค่าต่อการปรับปรุงดินของสารปรับปรุงดินบางชนิดสำหรับสมบัติและคุณค่าต่อการปรับปรุงดินของสารปรับปรุงดินที่ค่อนข้างแพร่หลายในประเทศไทยโดยยึดถือหลักการหรือความเป็นไปได้ในเชิงวิชาการเป็น
สำคัญ ได้แก่
(1) ซีโอไลท์(Zeolite)
สารซีโอไลท์เป็นกลุ่มแร่ธรรมชาติในรูปสารประกอบอะลูมิโนซิลิเกต ที่มีโครงสร้างเป็นรูพรุน หรือมีโพรงหรือช่องว่างขนาด 2–10 แองสตรอม (0.002–0.01 มิลลิเมตร) ภายในเนื้อแร่จ านวนมากทำให้มีคุณสมบัติในการดูดซับไออ้อนของธาตุอาหารประจุบวกได้ดีเช่น ธาตุ N ในรูป NH4 ธาตุ Ca, Mg, K และ Zn รวมทั้งธาตุโลหะหนัก เช่น Pb และ Cd นอกจากนั้นยังสามารถดูดซับโมเลกุลของน้ำ และก๊าซต่างๆ ได้เป็นอย่างดีด้วย เช่น ก๊าซ NH3, H2S และ NO2 สำหรับคุณค่าทางการเกษตรทางด้านการปรับปรุงดินนั้นการใช้สารซีโอไลท์จะช่วยปรับปรุงสมบัติของดินที่ไม่เหมาะสมบางประการได้โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเพิ่มความสามารถของดินเนื้อหยาบให้มีคุณสมบัติในการดูดยึด หรือกักเก็บปุ๋ยเคมีที่ใส่ลงไปได้ดีขึ้น ทำให้เกิดการสูญเสียปุ๋ยโดยการชะล้างด้วยน้ำ น้อยลง และมีผลท าให้การใช้ปุ๋ยเคมีเกิดประสิทธิภาพต่อพืชมากขึ้นนอกจากนั้นยังทำให้ดินเนื้อหยาบที่แน่นแข็ง สามารถอุ้มน้ำได้ดีขึ้นพร้อมๆ กับการมีส่วนช่วยในการลดความแน่นแข็งของดินและการเพิ่มความสามารถในการระบายน้ำ และระบายอากาศของดินดังกล่าวไปด้วยในตัวอย่างไรก็ตาม เนื่องจากสารซีโอไลท์เป็นสารปรับปรุงดินที่มีราคาต่อหน่วยค่อนข้างสูง เมื่อเปรียบเทียบกับราคาปุ๋ยเคมีการใช้เพื่อปรับปรุงดินมันสำปะหลังอาจให้ผลตอบแทนไม่คุ้มค่าเท่ากับการใช้ปุ๋ยเคมีปุ๋ยอนินทรีย์หรือสารปรับปรุงดินประเภทอื่นๆ ที่มีราคาถูกกว่า
(2) พูไมซ์(Pumice)
พูไมซ์เกิดจากหินอัคนีประเภทหินร้อนที่เย็นตัวลงบนโลกหรือนอกผิวโลก พบเห็นได้ทั่วๆ ไปตามแหล่งภูเขาไฟในประเทศต่างๆ เช่น ในประเทศฟิลิปปินส์อินโดนีเซีย หรือแม้แต่ในประเทศไทย เช่น ที่พบในจังหวัดลพบุรีองค์ประกอบส่วนใหญ่ประกอบด้วยสารพวกแก้ว (SiO2) และอะลูมินัมอ๊อกไซด์(Al2O3) โดยมีสิ่งเจือปนอื่นๆ ปะปนอยู่ด้วย เช่น แร่ซีโอไลท์แคลไซด์ และอ๊อกไซด์ของ Fe, K, Ca, Mg และ Na โดยลักษณะโครงสร้างของแร่มีลักษณะโปร่งพรุนคล้ายแร่ซีโอไลท์ที่ประกอบไปด้วยช่องว่างขนาดเล็กมากจำนวนมากในเนื้อหินพูไมท์ท าให้มีคุณสมบัติคล้ายแร่ซีโอไลท์กล่าวคือสามารถกักเก็บน้ำ และสารเคมีรวมทั้งธาตุอาหารพืชหลายๆ ชนิดได้ นอกจากนั้นยังมีน้ำหนักเบา ทำให้นำมาใช้ในการปรับปรุงสมบัติทางกายภาพและสมบัติทางเคมีได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการปรับปรุงดินเพื่อเพิ่มความสามารถในการอุ้มน้ำของดิน การระบายอากาศและน้ำของดิน รวมทั้งการเพิ่มความจุในการแลกเปลี่ยนแประจุบวกของดินด้วย เนื่องจากราคาต่อหน่วยของตัวสารพูไมซ์เองก็สูง เมื่อเปรียบเทียบกับราคาของปุ๋ยเคมีและสารปรับปรุงดินชนิดอื่นๆ การใช้ดังกล่าวเพื่อปรับปรุงสมบัติทางกายภาพและเคมีของดินมันสำปะหลังในทางปฏิบัติจึงเป็นการปฏิบัติที่อาจจะไม่คุ้มค่าต่อการลงทุนในการปลูกมันสำปะหลังที่ให้ผลผลิตที่มีราคาค่อนข้างต่ำเมื่อเปรียบเทียบกับราคาในท้องตลาดของสารพูไมซ์
(3) โดโลไมท์(Dolomite)
โดโลไมท์เป็นชื่อหินตะกอนหรือหินแปรในรูปหินอ่อนที่มีสูตรทางเคมีCa, Mg(CO3)2 ในประเทศไทยพบมากในจังหวัดชลบุรีกาญจนบุรีจันทบุรีและจังหวัดสงขลา ในทางการค้ามีการผลิตหินปูนโดโลไมท์บด เพื่อจ าหน่ายในชื่อการค้าต่างๆ มาก วัตถุประสงค์หรือคุณค่าในทางการเกษตรก็คือการใช้เพื่อ 1) ทำให้ดินทรายเนื้อหยาบที่มีความโปร่งมากเกินไปและอุ้มน้ำได้น้อย มีการจับตัวกันเป็นก้อน และมีสมบัติอุ้มน้ำได้ดีกว่าเดิม 2) ทำให้ดินเนื้อละเอียดที่มีโครงสร้างแน่นทึบ มีการระบายน้ำและอากาศเลว เกิดการจับตัวกันเป็นก้อนโดยอิทธิพลของไออ้อนประจุบวกในรูป Ca2+และ Mg2+ ที่ได้จากโดโลไมท์มีผลทำให้ดินมีความแน่นทึบน้อยลงและมีการระบายอากาศและน้ำดีขึ้น 3) เพื่อลดความเป็นกรดของดินที่มีฤทธุ์เป็นกรดมากเกินไป (pH ต่ ากว่า 5.0) ใหมีปฏิกิริยาดินเหมาะสมต่อการปลูกพืชมากขึ้น และ 4) เพื่อเพิ่มธาตุMg ให้แก่ดินในกรณีที่ดินขาดธาตุ Mg โดยเฉพาะอย่างยิ่งดินเนื้อหยาบที่มีองค์ประกอบของเนื้อดินประเภทดินทรายในปริมาณมาก
(4) ฟอสโฟยิปซั่ม
ฟอสโฟยิปซั่ม คือ สารเคมีที่เป็นผลพลอยได้จากโรงงานอุตสาหกรรมผลิตกรด ฟอสฟอรัสโดยขบวนการ Wet Process โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากโรงงานผลิตปุ๋ยเคมีองค์ประกอบทางเคมีโดยทั่วๆ ไปประกอบด้วยยิปซั่ม (CaSO4) ประมาณร้อยละ 97 ที่เหลือนอกจากนั้นประกอบด้วย สารประกอบแมกนีเซียมซัลเฟต (MgSO4) ประมาณร้อยละ 1 ฟอสฟอรัสในรูป P2O5 ร้อยละ 0.6 และฟลูออราปาไทท์(Fluorapatite) และเม็ดทราย (SiO2) รวมกันประมาณร้อยละ 1.4 คุณค่าในทางการเกษตรทางการปรับปรุงดินที่ให้ผลดีเด่นชัด ก็คือการแก้ไขปัญหาการเกิดแผ่นแข็งบนผิวหน้าดิน (Surface Crust) เมื่อดินเปียกและแห้งสลับกันทำให้เม็ดดินที่เล็กละเอียดในบริเวณผิวดินเกิดการจับตัวกันเป็นก้อน ไม่จับตัวเคลือบติดกันเป็นแผ่นแข็งน้ำสามารถซึมลงในดินล่างได้ลึกและเร็วขึ้น ท าให้ลดการสูญเสียน้ำ โดยการไหลบ่า (Runoff) ของน้ำ และลดการเกิดการชะล้างพังทะลายของดินไปพร้อมๆ กันด้วย จัดได้ว่ามีคุณค่าต่อการอนุรักษ์ดินและน้ำได้ดีมาก โดยเฉพาะสำหรับดินมันสำปะหลังที่มีความอ่อนไหวต่อการชะล้างพังทะลายของดินง่าย และเกิดในปริมาณมากอย่างกว้างขวาง จากผลการวิจัยพบว่าการใช้สารฟอสโฟยิบซั่ม หว่านลงบนดินทรายในอัตราประมาณ 1,600 กิโลกรัมต่อไร่สามารถลดการไหลบ่าของน้ำ ลงได้ประมาณ 6 เท่าตัว และลดการสูญเสียเนื้อดินโดยการชะล้างพังทะลายของดินลงได้ประมาณ 20 เท่าตัวอย่างไรก็ตาม แม้ผลการทดลอง โดยทั่วๆไปจะพบว่าสารฟอสโฟยิบซั่มให้ผลดีต่อการลดการสูญเสียดินและน้ำชัดเจนมาก แต่เนื่องจากการใช้ให้เกิดผลดีในลักษณะดังกล่าวต้องใช้สารชนิดนี้ในปริมาณมากถึงประมาณ 500– 1,000 กิโลกรัมต่อไร่ ทำให้การใช้สารประเภทนี้ในการปรับปรุงดินเพื่อการอนุรักษ์ดินและน้ำ ยังมีความเป็นไปได้น้อยในทางปฏิบัติทั้งนี้เพราะต้องเสียค่าใช้จ่ายในการจัดหาและการใช้ค่อนข้างสูงและผลของการใช้สารก็ไม่ได้มีผลโดยตรงในระยะสั้นแบบฤดูปลูกต่อฤดูปลูกต่อการเพิ่มผลผลิตของมันสำปะหลังเหมือนการใช้ปุ๋ยเคมีดังนั้นในการพิจารณาใช้สารฟอสโฟยิปซั่มเพื่อการปรับปรุงดิน
หรือเพื่อการอนุรักษ์ดินและน้ำ จึงควรพิจารณาใช้เฉพาะในกรณีที่มีความจ าเป็นในเชิงวิชาการและเพื่อหวังผลดี
อย่างยั่งยืนในระยะยาวเท่านั้น
นอกจากนี้ยังมีหินปูนบด หินปูนฝุุนหรือหินฝุุนที่ได้จากภูเขาไฟ ซึ่งถ้าเป็นดินทรายให้ใส่ 100 ก.ก./ไร่ ทุกปีถ้าเป็นดินร่วนก็อาจใส่ 200 ก.ก./ไร่ ปีเว้นปีในกรณีที่เป็นดินเหนียวให้ใส 300-500 ก.ก./ไรโดยเว้น 2-3 ปีแล้วจึงใส่อีกครั้ง อนึ่งถ้าค่าความเป็นกรดเป็นด่างต่ า ก็จะต้องใช้ในจำนวนมากขึ้นการใส่สารปรับปรุงดินจะให้ผลมากยิ่งขึ้น ถ้าใช้ปุ๋ยอินทรีย์และปุ๋ยเคมีควบคู่กันไป
4) การอนุรักษ์ดินและน้ำ
นอกเหนือจากการปรับปรุงดิน ที่มีความอุดมสมบูรณ์ต่ำและมีสมบัติอื่นๆ ไม่เหมาะสมให้ดีขึ้นโดยควรมีการป้องกันหรือควบคุมความเสื่อมโทรมของดินด้วย ทั้งนี้เพื่อเป็นการอุดรูรั่วหรือปูองกันการสูญเสียเนื้อดินที่ดีรวมทั้งอินทรีย์วัตถุและธาตุอาหารออกไปจากพื้นที่ปลูกด้วย มิฉะนั้นแล้วการปรับปรุงบำรุงดินโดยการ “เติม” ปุ๋ยเคมี ปุ๋ยอินทรีย์สารปรับปรุงดิน หรือสารชนิดอื่นๆ อาจไม่ได้ผลดีในการปรับปรุงคุณภาพดินให้ดีขึ้น เพราะเมื่อมีการเติมปุ๋ยหรือสารต่างๆ เหล่านี้เข้าไปแล้วก็อาจจะเกิดการ “สูญเสีย” ออกไปจากพื้นที่พืชเองก็จะมีโอกาสดูดใช้ธาตุอาหารได้น้อย โดยทั่วๆ ไปวิธีการปูองกันหรือควบคุมการสูญเสีย เนื้อดินและน้ำมีหลายวิธีในทางปฏิบัติที่สำคัญ ได้แก่
(1) เตรียมดินให้ถูกวิธีโดยการไถพรวนและยกร่องตามแนวระดับขวางความลาดเท ซึ่งจากผลการทดลองโดยทั่วๆ ไปพบว่าจะช่วยปูองกันการสูญเสียเนื้อดินได้ดีมาก นอกจากนั้น ในบางท้องที่อาจปลูกมันสำปะหลังโดยการไม่ไถพรวนดินเลย แต่มีการใช้ยาฆ่าหญ้าหรือยาควบคุมวัชพืชให้ดีจะมีส่วนช่วยปูองกันการชะล้างและพังทลายของดินและการไหลบ่าของน้ำได้ดีเช่นกัน ในบางกรณีถ้าดินบนมีลักษณะแน่นแข็งมากหรือมีชั้นดินดานบริเวณใต้ผิวดิน และทำให้มีปัญหาต่อการซึมของน้ำฝนรวมทั้งการลงหัวของมันสำปะหลังการเตรียมดินโดยการใช้ไถสิ่ว (sub-soiler) เพื่อทำลายชั้นดินดาน จะมีส่วนช่วยแก้ปัญหาดังกล่าวได้ดีกว่าการเตรียมดินโดยการไถพรวนตามปกติ
(2) การปลูกพืชบางชนิดเป็นแถวขวางความลาดเทของพื้นที่ ซึ่งแถวของพืชที่แนะนำ ให้ปลูกสลับกับแถวมันสำปะหลังในระยะที่เหมาะสม เช่น ทุกๆ ระยะ 20-30 เมตร คือต้นหญ้าแฝกที่กรมพัฒนาที่ดิน
มีการแนะนำให้ปลูกป้องกันการสูญเสียดินและน้ำอย่างกว้างขวางทั่วประเทศ พืชชนิดนี้เป็นพืชที่มีระบบรากลึกทนแล้งได้ดีเมื่อเจริญเติบโตเต็มที่จะแตกกอชิดกันหนาแน่น แข็งแรง และแถวกำแพงพืชชนิดนี้จะช่วยปะทะเพื่อลดแรงไหล่บ่าของน้ำและดักตะกอนดินได้ดีมาก ทำให้เกิดการสูญเสียดินและน้ำน้อยลงอย่างเด่นชัด
(3) สำหรับมันสำปะหลังที่ปลูกต้นฤดูฝนเนื่องจากเป็นช่วงที่มีฝนตกติดต่อกัน และมันสำปะหลังเองก็ยังเจริญเติบโตไม่เต็มที่ทำให้เกิดการชะล้างพังทลายของดิน โดยน้ำฝนได้ง่ายและในปริมาณมาก ในกรณีเช่นนี้การใช้ปุ๋ยเคมีหรือปุ๋ยอินทรีย์ในระยะเริ่มแรกหลังปลูก เช่น ประมาณ 1 เดือนหลังปลูกจะช่วยทำให้มันสำปะหลังโตเร็วขึ้น เกิดการสร้างและการประสานกิ่งใบระหว่างต้นแผ่ปกคลุมผิวดิน สามารถรองรับแรงปะทะของน้ำฝนได้เร็วขึ้น ซึ่งจะทำให้เกิดการสูญเสียดินและน้ำน้อยลง
โดยสรุป การปรับปรุงบำรุงดินที่มีความอุดมสมบูรณ์ต่ำ ดินที่มีปัญหาเกี่ยวกับสมบัติทางกายภาพและการปูองกันการเสื่อมโทรมของดินควรปฏิบัติควบคู่กันไปแบบผสมผสานไม่ควรเลือกปฏิบัติแต่เพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง เพราะจะท าให้ไม่เกิดผลดีเต็มที่หรืออีกนัยหนึ่งเมื่อมีการ “เติมเพื่อเพิ่ม” ให้กับดินก็ต้องมีการ “อุดเพื่อปูองกันการสูญเสีย” สิ่งที่เติมลงไปรวมทั้งหลังมีการอนุรักษ์เนื้อดินที่มีอยู่แล้วเดิมด้วย จึงจะทไให้ดินนั้นมีสมบัติดีขึ้นกว่าเดิมเรื่อยๆ ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเป็นดินร่วนปนทรายที่มีธาตุอาหารพืชต่ำหรือขาดปุ๋ยธรรมชาติไม่อุ้มน้ำและถูกฝนชะล้างและเกิดการพังทลายของดินได้ง่าย วิธีการดูแลรักษาดินควรปฏิบัติดังนี้
1. มีการใช้ปุ๋ยเคมีอย่างเดียวอย่างเหมาะสมหรือใช้ร่วมกับปุ๋ยอินทรีย์รูปใดๆ ก็ได้ในปริมาณที่มากเพียงพอ
2. ถ้าจะมีการใช้ปุ๋ยอินทรีย์แต่ไม่สามารถจัดหาปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักได้ควรใช้ปุ๋ยพืชสดแทนโดยเป็นพืชตระกูลถั่วที่เหมาะสม
3. ถ้าเป็นพื้นที่ที่มีความลาดเท ควรเตรียมดินโดยการยกร่องปลูกพืชขวางความลาดเท หรือปลูกต้นแฝก
เป็นแถวตามแนวระดับขวางความลาดเทโดยใช้ระยะระหว่างแถวแฝกที่เหมาะสมเพื่อปูองกันการสูญเสียดิน
และน้ำการปลูกแฝกในไร่มันสำปะหลังในบริเวณพื้นที่ที่มีความลาดเอียง การปลูกแฝกขวางแนวลาดชัน
ในพื้นที่ปลูกมันสำปะหลัง จะช่วยลดการชะล้างพังทลายของดิน เนื่องจากมันสำปะหลังเจริญเติบโตช้าในช่วง 1-3 เดือนแรก เมื่อฝนตกทำให้เกิดการชะล้างพังทลายของดินสูง การปลูกแฝกจะปลูกขวางทางน้ำไหลจะช่วยลดการสูญเสียหน้าดิน เมื่อแฝกอายุ 2-3 ปีก็สามารถดักตะกอนดิน ท าให้ช่วยเพิ่มอินทรียวัตถุในดินให้สูงขึ้นการปลูกหญ้าแฝกในไร่มันสำปะหลัง ควรใช้ระยะปลูกระหว่างหลุม 10 เซนติเมตร หลุมละ 1 ต้น
เมื่อดำเนินการตามวิธีการข้างต้นดินในพื้นที่ที่มีสมบัติไม่เหมาะสม จะไม่มีสมบัติที่เลวลงไปกว่าเดิมและจะมีแนวโน้มที่จะมีสมบัติที่ดีขึ้นเรื่อยๆ จนถึงระดับที่จะทำให้ได้ผลผลิตของมันสำปะหลังในระดับสูงอย่างสม่ำเสมอและยาวนาน
ที่มา : มูลนิธิสถาบันพัฒนามันสำปะหลังแห่งประเทศไทย
1.2 การเตรียมท่อนพันธุ์
การจัดการแปลงมันสำปะหลังที่ดีมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ได้ต้นพันธุ์ที่บริสุทธิ์ตรงตามพันธุ์มีความสม่ำเสมอไม่มีพันธุ์อื่นปลอมปน และจะทำให้ได้ต้นพันธุ์มันสำปะหลังที่แข็งแรง สมบูรณ์ปราศจากศัตรูพืช สิ่งที่ควรพิจารณาในจัดการแปลงมันสำปะหลังที่ดีมีดังนี้
1) สถานที่
– สภาพดิน ควรเป็นพื้นที่ที่มีหน้าดินลึก ดินร่วนซุย โปร่ง และระบายน้ำ ดีมีความอุดมสมบูรณ์สูงและมีค่า pH เหมาะสม และควรมีการอนุรักษ์และบำรุงดิน โดยการเตรียมดินอย่างถูกวิธีและการปรับปรุงดินเพื่อรักษาความอุดมสมบูรณ์ของดินอย่างสม่ำเสมอ
– แหล่งน้ำ ควรมีปริมาณน้ำเพียงพอสำหรับการให้น้ำตลอดฤดูปลูก หรืออยู่ในเขตชลประทานหรือใกล้แหล่งน้ำธรรมชาติ
– ประวัติพื้นที่ควรเป็นพื้นที่ที่ไม่มีประวัติการระบาดของศัตรูพืชของมันสำปะหลัง หากเป็นพื้นที่ที่เคยปลูกมันสำปะหลังพันธุ์อื่นมาก่อน ต้องนำส่วนของต้นมันสำปะหลังเดิมออกให้หมด เพื่อไม่ให้มีพันธุ์ปลอมปน
2) พันธุ์และการเตรียมท่อนพันธุ์
– พันธุ์ควรใช้ต้นพันธุ์ที่เหมาะสมกับแต่ละพื้นที่ ตามคำแนะนำของทางราชการ หรือสถาบันการศึกษาที่มีการศึกษาและวิจัยด้านการปรับปรุงพันธุ์มันสำปะหลัง
– การคัดเลือกต้นพันธุ์ควรเป็นต้นพันธุ์ที่มาจากแปลงที่มีการเจริญเติบโตดีปราศจากการระบาดของศัตรูพืชและเป็นต้นพันธุ์ที่มีตาสมบูรณ์
– อายุต้นพันธุ์ควรใช้ต้นพันธุ์อายุ 8 เดือน ถึง 14 เดือน และมีเส้นผ่าศูนย์กลาง ไม่น้อยกว่า 2 cm ณ กึ่งกลางลำต้น
– การเตรียมและแช่ท่อนพันธุ์ตัดต้นพันธุ์มันสำปะหลังเป็นท่อน ยาวประมาณ 20–25 cm โดยให้แต่ละท่อนมีตาไม่น้อยกว่า 7 ตา จากนั้นนำ ท่อนพันธุ์มากำจัดเพลี้ยแปูงด้วยการแช่ในสารเคมีเช่นสารไทอะมีโทแซม 25% หรือ อิมิดาโคลพิด 70 %WG อัตรา 4 กรัม ต่อน้ำ 20 ลิตร หรือไดโนทีพูเรน 10 %WG อัตรา 40 กรัม ต่อน้ำ 20 ลิตร นาน 5–10 นาที
3) การปลูกและการดูแลรักษา
– วางแผนการผลิตต้นพันธุ์มันสำปะหลังล่วงหน้า ให้ได้ต้นพันธุ์ตรงกับช่วงเวลาที่จะจำหน่าย
– การควบคุมและปูองกันกำจัดศัตรูพืช โดยเฉพาะการกำจัดวัชพืชช่วง 3 เดือนแรกหลังปลูก
– การให้ปุ๋ย ไม่น้อยกว่า 1 – 2 ครั้ง ขึ้นอยู่กับความอุดมสมบูรณ์ของดิน หรือค่าวิเคราะห์ดิน
– การตรวจแปลง ควรปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอ ดังนี้
(1) การตรวจพันธุ์ปนหรือต้นมันเรื้อ อย่างน้อย 2–3 ครั้ง เมื่อต้นมันสำปะหลังมีอายุ 1–3 เดือนและเมื่อต้นมันสำปะหลังมีอายุประมาณ 8 เดือนหรือก่อนเก็บเกี่ยว หากพบพันธุ์ปนหรือต้นมันเรื้อให้ถอนและนำไปทำลายนอกแปลงปลูก
(2) การตรวจการระบาดของศัตรูพืช ควรตรวจแปลงอย่างสม่ำเสมอ อย่างน้อยเดือนละครั้งเมื่อพบศัตรูพืชเกินระดับเศรษฐกิจ ต้องรีบกำจัดและมีมาตรการปูองกันตามคำแนะนำของกรมวิชาการเกษตร
4) การเก็บเกี่ยว
– เก็บเกี่ยวต้นพันธุ์มันสำปะหลังเมื่อมีอายุ 8–14 เดือนหลังปลูก โดยต้องมีเส้นผ่าศูนย์กลาง ณ กึ่งกลางลำต้นไม่น้อยกว่า 2 cm
– เก็บเกี่ยวและจัดเตรียมมัดต้นพันธุ์มันสำปะหลังรวมกันอย่างระมัดระวัง ไม่ให้ตาของต้นพันธุ์เสียหาย และรวบรวมขนย้ายไปยังจุดจำหน่าย
– ไม่ควรตัดต้นพันธุ์เก็บไว้เพื่อรอจำหน่ายเกิน 15 วัน เพราะจะทำให้มีเปอร์เซ็นต์งอกต่ำลง
1.3 การปลูกและการดูแลรักษา
การปลูกมันสำปะหลังนิยมใช้ท่อนพันธุ์โดยตัดล าต้นให้เป็นท่อนยาว 15-20 เซนติเมตร เลือกใช้ต้นพันธุ์ที่แก่มีอายุตั้งแต่ 8 เดือนขึ้นไป การปลูกมันสำปะหลังทำได้โดยนำท่อนพันธุ์ที่เตรียมไว้ปักลงในดินให้ลึกประมาณ 2/3 ของท่อนพันธุ์ควรระวังอย่าปักส่วนยอดลงดินเพราะตาจะไม่งอก การปักตรง 90 องศา หรือปักเฉียง 45 องศากับพื้นดิน ให้ผลผลิตไม่แตกต่างกัน และมันสำปะหลังจะงอกเร็ว สะดวกต่อการกำจัดวัชพืชและปลูกซ่อม และลงหัวด้านเดียวเป็นกลุ่ม ง่ายต่อการเก็บเกี่ยว ควรให้ระยะปลูกอยู่ที่ประมาณ 80×100 เซนติเมตร ปลูกได้ตั้งแต่ช่วงต้นฝนถึงปลายฝน หรือในขณะที่ดินมีความชื้น มันสำปะหลังเป็นพืชที่สามารถขึ้นได้ง่ายเพียงมีความชื้นเล็กน้อย
การดูแลรักษา มีข้อปฏิบัติดังนี้
1) มันสำปะหลังอายุ 1 เดือน เริ่มรดบำรุงด้วยจุลินทรีย์ฮอร์โมนผลไม้1 ช้อน+น้ำ 20 ลิตรไปเรื่อยๆ จนครบทุกต้น ประมาณ 200 ลิตร/ไร่
2) เริ่มดายหญ้าเมื่อมันสำปะหลังมีอายุ 2 เดือนขึ้นไป ด้วยเคียวเกี่ยวหญ้า แล้วนำหญ้าวัชพืชต่างๆมาคลุมโคนต้นไว้เพื่อรักษาความชื้น
3) ตัดแต่งกิ่งมันสำปะหลังเมื่อมันอายุ 2 เดือน โดยให้เหลือกิ่งไว้2 กิ่งหันไปทางทิศเหนือ-ใต้ลักษณะคล้ายตัว V เพื่อให้ได้รับแสงแดดเท่ากันทั้ง 2 ด้าน
4) ดายหญ้าอีกครั้งเมื่อมันอายุ 3-5 เดือน พร้อมตกแต่งกิ่ง
5) รดน้ำหมักฮอร์โมนระเบิดหัวมันหรือฮอร์โมนอาหารหลัก 5 หมู่สูตรเข้มข้นช่วงมันอายุ 3-5 เดือนเพื่อเร่งขยายหัวมันให้มีความสมบูรณ์มากที่สุด 1 ครั้ง
6) สังเกตมันเริ่มออกหัวเมื่ออายุ 3-5 เดือน จะมีรอยแยกของดิน
7) หัวมันสำปะหลังเมื่ออายุ 3-5 เดือน จะมีความยาวประมาณ 120 เซนติเมตร
1.4 การฉีดยาคุมเมล็ดวัชพืช
สำหรับการปลูกในฤดูฝนสภาพดินชื้น ควรฉีดยาคุมวัชพืชด้วยยาไดยูรอน (คาแม็กซ์) หลังจากการปลูกทันทีไม่ควรเกิน 3 วัน หรือก่อนต้นมันงอก หากฉีดหลังต้นมันงอก อาจทำให้ต้นมันเสียหายได้ใช้ยาในอัตรา 6 ขีด (600 กรัม) ผสมน้ำ 200 ลิตร ฉีดพ่นได้ประมาณ 1 ไร่ครึ่ง
1.5 การกำจัดวัชพืชและการใส่ปุ๋ย
กำจัดวัชพืช ครั้งที่ 1 ประมาณ 30-45 วัน หลังการปลูก โดยใช้รถไถเล็กเดินตาม หรือ จานพรวนกำจัดวัชพืช ติดท้ายรถแทรกเตอร์พร้อมทั้งใส่ปุ๋ย 15-15-15 อัตรา 25-50 กก./ไร่ ห่างจากต้นมัน 1 คืบ (20 ซม.) จากนั้นใช้จอบกำจัดวัชพืชส่วนที่เหลือ พร้อมกับกลบปุ๋ยไปด้วย ใส่ปุ๋ยโดยการขุดหลุม ห่างจากโคนต้น 1 คืบ แล้วกลบดินตามก็ได้ข้อสำคัญควรใส่ปุ๋ยขณะที่ดินมีความชื้นอยู่กำจัดวัชพืช ครั้งที่ 2 ประมาณ 60-70 วัน หลังการปลูก โดยปฏิบัติเช่นเดียวกันกับครั้งแรก กำจัดวัชพืช ครั้งที่ 3 ตามความจ าเป็น โดยใช้จอบถาก หรือฉีดพ่นด้วยยากรัมม๊อกโซน (ควรใช้ฝากครอบหัวฉีด เพื่อปูองกันไม่ให้ยาโดนตาและลำต้นมัน)
1.6 การเก็บเกี่ยว
มันสำปะหลังได้เปรียบพืชไร่ชนิดอื่นที่สามารถยืดหยุ่นอายุการเก็บเกี่ยวได้ตั้งแต่ 8 เดือนขึ้นไปเกษตรกรจะเก็บเกี่ยวมันสำ ปะหลังตามความจำเป็น เช่น ราคาในขณะนั้น และแรงงาน แต่โดยปกติจะเก็บเกี่ยวเมื่ออายุ 10-12 เดือน เพราะผลผลิตมันสำปะหลังจะมากขึ้นตามอายุที่เพิ่มขึ้น หลังจากเก็บเกี่ยวหัวมันสำปะหลัง ต้องตัดเหง้าและต้นออก และรีบส่งหัวมันสดเข้าโรงงานทันทีหรืออย่างช้าไม่เกิน 3 วันมิฉะนั้นหัวมันจะเริ่มเน่า ส่วนล าต้นต้องเก็บทันทีเพื่อใช้ท าพันธุ์ต่อไป โดยนำไปกองรวมกันแบบตั้งขึ้นให้โคนติดพื้นดินส่วนยอดตั้งขึ้นในร่ม วิธีนี้สามารถเก็บต้นได้นานถึง 30 วัน ส่วนของกิ่ง ก้าน และใบ และในส่วนที่เป็นวัสดุตอซังให้สับกลบลงสู่ดินทุกครั้งหลังการเก็บเกี่ยว เพื่อเพิ่มปริมาณอินทรียวัตถุให้แก่ดิน
แหล่งที่มา
สำนักงานเกษตรและสหกรณ์จังหวัดนครสวรรค์ สำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
รูปแบบองค์ความรู้
บทความ PDF ดาวน์โหลดฟรี
ลิงก์
https://www.opsmoac.go.th/nakhonsawan-dwl-files-431691791796